Search This Blog

Sunday, October 9, 2011

classic car

Alfa Romeo Spider
เหตุผลในการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ของคนเราย่อมต่างกันออกไป ตามความชอบและรสนิยม
เหตุผลหลักๆ ที่ประกอบการตัดสินใจซื้อรถของคนส่วนใหญ่แล้ว มักจะได้แก่ รูปทรงของรถ สมรรถภาพในการ
ขับขี่ ประโยชน์ในการใช้งาน และประการสุดท้ายก็คงจะเป็นเรื่องราคา
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่งของประเทศอิตาลี มีสโลแกนของบริษัทว่า “ La bellezza non basta”
หรือในภาคภาษาอังกฤษ “ Beauty is not enough “ และในความหมายภาษาไทย “ แค่สวย...ยังไม่พอ “
รถยนต์เครื่องแรงที่สวยพิศงามผาด คือชำเลืองก็สวยยิ่งมองก็ยิ่งสวยที่จะถูกนำมาเสนอในฉบับนี้จึงย่อมจะเป็น
รถยนต์ยี่ห้ออื่นไปไม่ได้นอกจาก Alfa Romeo สุดยอดรถยนต์คลาสิคตลอดกาล
อัลฟา โรมิโอ เป็นบริษัทรถยนต์ในประเทศอิตาลี ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 1910 ที่เมืองมิลาน
ชื่อ A.L.F.A. นั้นเป็นตัวอักษรที่ย่อมาจากคำว่า Anonima Lombarda Fabbrica Automobilli แปลเป็น
ภาษาไทยคือ บริษัทมหาชนลอมบาร์ดยนตรกิจ ( Lombard Automobile Factory, Public Company ) ประธาน
ของบริษัทคนแรกคือ Cavaliere Ugo Stella รถยนต์รุ่นแรกๆ ที่ผลิตออกมามีขนาด 24 แรงม้า จากนั้นจึงพัฒนา
มาเป็น 40-60 แรงม้า ตามลำดับ
กิจการของบริษัทอัลฟาดำเนินไปด้วยดี แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้น การผลิตรถยนต์ของโรงงาน
ก็ต้องยุติลงโดยปริยายถึง 3 ปี ในปี 1961 ภายใต้การดำเนินการโดย Nicola Romeo บริษัทอัลฟาได้หันมาผลิต
อุปกรณ์ที่ใช้ในการสงคราม ชิ้นส่วนและเครื่องยนต์ของเครื่องบินรวมไปถึงหัวจักรรถไฟ
เมื่อสงครามโลกสงบลง ในปี1919 Nicola Romeo ได้เป็นผู้บริหารบริษัทอัลฟาอย่างเต็มตัว และได้
นำบริษัทอัลฟากลับมาผลิตรถยนต์อีกคำรบ ถัดมาอีกหนึ่งปี Nicola Romeoได้ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก
Alfa มาเป็น “ Alfa Romeo “ และนี่นับเป็นการเปิดศักราชอันเกรียงไกรของรถคลาสิคระดับต้นๆ ของโลกยี่ห้อ
หนึ่ง
ในบรรดารถทุกรุ่นที่ประดับตราสัญลักษณ์วงกลมที่มีรูปกางเขนแดงและงูสีเขียวคาบดาบล้อมรอบด้วย
คำว่า ALFA ROMEO แล้ว รุ่นที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดรุ่นหนึ่ง ย่อมต้องเป็น Alfa Romeo Spider
อัลฟาโรมิโอ สไปเดอร์ ถูกผลิตระหว่างปี 1966 – 1993 นับแล้วเกือบ 3 ทศวรรษเลยที่เดียว ในระหว่าง 27 ปีนี้
อัลฟาโรมิโอ สไปเดอร์ ถูกสร้างออกเป็น 4 ซีรีส์ ตามตารางต่อไปนี้
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ชื่อรุ่น ปีที่สร้าง เครื่องยนต์ กำลังเครื่องยนต์
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Series 1 : Duetto หรือ Oss di sepia
Duetto 1966-1967 1600 cc 109PS (108 hp/80 kW)
1750 Veloce 1967-1969 1779 cc 118 PS (116hp/87 kW)
1750 Veloce Us version 1969 1779 cc 132 PS ( 130hp/97 kW)
1300 Junior 1968-1969 1290 cc 89 PS (88 hp/ 65 kW)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Series 2 : Fastback หรือ Coda Tronca
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1750 Veloce 1970-1973 1779 cc 133 PS ( 131 hp/98 kW)
1300 Junior 1970-1973 1290 cc 104 PS ( 103hp/76 kW)
2000 Veloce 1971-1982 1962 cc 128 PS (126 hp/94 kW)
1600 Junior 1972-1981 1570 cc 110 PS ( 108 hp/81 kW)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Series 3 : Aerodinamica
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Aerodinamica 2000 1982-1989 1962 cc 128 PS (126hp/94 kW)
Aerodinamica 1600 1983-1989 1570 cc 104 PS (103hp/76 kW)
2000 Quadrifoglio Verde 1985-1989 1962 cc 132 PS (130 hp/97kW)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Series 4
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Type 4 1990-1993 1962 cc 126 PS (124 hp/93kW)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รถยนต์ดังๆ ก็เหมือนกับภาพยนตร์ฮอลลิวู้ด ซีรี่ส์ 2,3,4 ที่ตามมาล้วนต้องอาศัยความดีเด่นของซีรีส์ที่ 1
สไปเดอร์ตัวแรกซึ่งนับเป็นตัวสร้างชื่อให้โลกรู้จักก็คือ Duetto โดยอัลฟาโรมิโอได้เปิดตัว Spider ตัวนี้ในงาน
เจนีวามอเตอร์โชว์ครั้งที่ 36 ในเดือนมีนาคม ปี1966 เมื่อแรกออก อัลฟาโรมิโอ สไปเดอร์รุ่นนี้ยังไม่มีชื่อเฉพาะ
ชื่อ Duettoเป็นชื่อที่ได้จากการประกวดตั้งชื่อ และกระทาชายที่ชนะเลิศในการประกวดตั้งชื่อในกาลครั้งนั้นก็คือ
Mr.Giudo bal do Trionfi
ความสวยของตัวรถ ความแรงของเครื่องยนต์และทุกความลงตัวในอัลฟาโรมิโอ สไปเดอร์” Duetto “
ต้องยกเครดิตให้กับผู้ออกแบบ ซึ่งก็คือ “ Battista Pinin Farina” อัจฉริยะนักออกแบบรถยนต์ซึ่งออกแบบรถยนต์
ให้กับรถยนต์ดังๆ เกือบทุกยี่ห้อไม่ว่าจะเป็น Cadillac, Ferrari, Jaquar, Lancia, MG, Peugeot หรือแม้กระทั่ง
Volvo
Duetto นับเป็นรถยนต์ที่ Pinin ออกแบบเป็นคันสุดท้ายในชีวิต หลังจากเขียนแบบ Alfa Romeo
Spider “ Duetto “ เสร็จลงไม่ถึงเดือน Pinin ก็ถึงแก่กรรมในวันที่ 3 เมษายน 1966 นับเป็นการสูญเสียบุคลากร
แห่งวงการรถยนต์คนสำคัญคนหนี่งของโลกเลยก็ว่าได้
ภาพยนตร์เรื่อง “The Graduate “ ซึ่งถูกสร้างออกฉายในปี 1967 และนำแสดงโดย ดัสติน ฮอฟแมน
นับว่ามีส่วนทำให้รถ Duetto เป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก หนังดัง--รถเด่น Alfa Romeo Spider จึง
เป็นรถที่หลายคนใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของ
อัลฟาโรมิโอก็เหมือนกับมนุษย์ที่แม้จะเปี่ยมไปด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติแต่ชีวิตก็ยัง มีขึ้นมีลง
เพื่อความอยู่รอดรวมถึงการทะยานก้าวไปข้างหน้า ในปี1986 Alfa Romeo ก็ได้ผนวกตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่ง
ของบริษัท Fiat Group ซึ่งต่อมาในปี 2007 ได้กลายมาเป็น บริษัท Fiat Auto S.p.A. เรื่อยมาจวบปัจจุบัน
Jaguar E-type
การผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกมาโดยค่ายรถต่างๆ นับเป็นการสร้าง
ทางเลือกให้กับผู้ใช้ยานยนต์ ให้สามารถเลือกซื้อรถได้ตามรสนิยม ความ
เหมาะสมในการใช้งาน และงบประมาณที่มีอยู่ในกระเป๋า จำนวนผู้ใช้รถยนต์
ที่เพิ่มขึ้น ทำให้หลายๆประเทศเริ่มหันมาส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์
เพื่อผลิตรถยนต์คุณภาพดี ราคาถูก ป้อนตลาดรถยนต์ภายในประเทศ และเพื่อ
ส่งออก อาทิ ประเทศอินเดีย มาเลเซีย และเกาหลีใต้
สำหรับผู้ผลิตรถยนต์รายใหม่แล้ว การผลิตรถยนต์อาจจะไม่ใช่เรื่อง
ยาก เพระเทคโนโลยีพื้นฐานที่ใช้ในการผลิตรถเป็นสิ่งที่เรียนรู้กันได้และตาม
กันทัน แต่สิ่งที่ยากไปกว่าการผลิตรถยนต์นั้นน่าจะเป็นการสร้างชื่อเสียงของ
รถยนต์ให้เป็นที่รู้จักและติดตลาด เพราะนั่นหมายถึงยอดขายที่จะเพิ่มสูงขึ้น
หรือลดต่ำลง เป็นที่ยอมรับว่าแบรนด์เนมมีส่วนในการสร้างยอดขาย
นอกเหนือจากรูปทรง คุณสมบัติ และสมรรถภาพที่รถนั้นมีอยู่
ในบรรดารถยนต์หลายยี่ห้อที่คนไทยรู้จัก เมื่อเอ่ยชื่อยี่ห้อ “Jarguar “
แล้ว คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงรถหรู ดีไซน์เฉี่ยว มีวิ่งอยู่ในประเทศไทยน้อยคัน
รถยนต์จากัวร์ ซึ่งชาวอังกฤษออกเสียงเรียกว่า “ แจ็กกัวร์ “และนิยม
เรียกชื่อกันสั้นๆว่า “ แจ็ก “(Jag) นั้นเป็นรถยนต์สัญชาติอังกฤษที่ถือกำเนิดจาก
บริษัท Swallow Sidecar Company ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1922โดยสิงห์
มอเตอร์ไซค์ 2 คน คือ William Lyons และ William Walmsley ต่อมาในปี
1934 ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น SS Cars Ltd และสุดท้ายในปี1945 ก็
ได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Jaguar Cars Ltd
รถยนต์จากัวร์ในยุคแรกซี่งผลิตในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองนั้น
เป็นรถขนาดครอบครัว( Saloon car )ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 4สูบขนาด 1.5 ลิตร
และเครื่องยนต์ 6สูบ ขนาด 2.5 และ 3.5 ลิตร ทั้ง 3 รุ่นนี้มีชื่อรุ่นอย่างไม่เป็น
ทางการคือรุ่น Mark 4
รถยนต์รุ่นถัดมา Mark 5 เป็นรถที่ผลิตขึ้นในปี 1948 ซึ่งเป็นช่วงที่
สงครามได้สงบลงแล้ว รถรุ่นนี้ประกอบด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตรและ
3.5 ลิตร ใช้ระบบป้องกันการสั่นสะเทือนล้อหน้าอิสระ ( Independent front
suspension )และระบบเบรกที่ใช้น้ำมันเบรก ( Hydraulic brake )อย่างเช่นรถ
ที่เราท่านใช้กันในยุคปัจจุบัน
พัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของรถยนต์จากัวร์เกิดขึ้นในปี 1948 เมื่อ
จากัวร์ได้ออกรถสปอร์ตรุ่น XK 120 ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาด 3.4 ลิตร
คาร์บูเรเตอร์คู่ เครื่องยนต์ซึ่งทำความเร็วได้ 120 ไมล์ต่อชั่วโมงนี้ เป็นผลงาน
การออกแบบของ 3 อัจฉริยะด้านเครื่องยนต์ คือ William Heynes, Walter
Hassan และ Claude Baily
รูปทรงสุดคลาสิคของ XK 120 เมื่อเพิ่มความแรงของเครื่องยนต์เข้า
ไป รถยนต์อีก 2 รุ่นที่ตามมา คือ XK 140 และ XK 150 ก็ทำให้รถสปอร์ต
จากัวร์ในตระกูล XK แจ้งเกิดเป็นดาวค้างฟ้า ในฐานะรถที่ทำความเร็วได้ 140
ไมล์ และ150 ไมล์ ต่อชั่วโมง และส่งให้รถรุ่นถัดมา XK-E เป็นสุดยอดรถ
สปอร์ตแห่งยุค
XK-E หรือในชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Jaguar E-type เปิดตัว
ครั้งแรกในเดือนมีนาคม 1961 ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิทเซอร์แลนด์ เมื่อรถ
Jaguar E-type ออกสู่ตลาด Enzo Ferrari เจ้าของบริษัทรถเฟอร์รารี่ถึงกับ
เอ่ยปากชมว่า “ เป็นรถที่สวยที่สุดที่เคยผลิตมา “ ( The most beautiful car
ever made )
Jaguar E-type ถูกผลิตขึ้นในปี 1961 -1975 ด้วยจำนวนกว่า
7,000 คัน ในเวลา 14 ปีเศษ ระยะเวลาอันยาวนี้ทำให้ E-type พัฒนาตัวเอง
ออกเป็น 3 รุ่น คือซีรีส์ 1, ซีรีส์ 2 และซีรีส์ 3
E-type ซีรีส์ 1 ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี 1961-1966 และใช้
เครื่องยนต์ 6 สูบ 3.8 ลิตร คาร์บูเรเตอร์ 3 อัน รถที่ผลิต 500 คันแรกมีพื้นห้อง
โดยสารเรียบ แต่นับจากคันที่ 501 เป็นต้นมาก็ทำพื้นห้องโดยสารให้มีลักษณะ
เป็นแอ่งเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับขามากขึ้น ในปี 1964 ก็ได้มีการปรับเปลี่ยน
เครื่องยนต์ให้แรงขึ้นโดยเพิ่มขนาดเครื่องยนต์เป็น 4.2 ลิตร
ในช่วง ค.ศ. 1967-1968 E-type ซีรีส์1ยังคงมีลักษณะภายนอกคง
เดิม แต่รถที่ผลิตในช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นรถที่ผลิตเพื่อตลาดอเมริกา ดังนั้นจึงมี
การปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์และอุปกรณ์บางรายการให้เป็นไปตามกฎหมายของ
อเมริกา กล่าวคือไฟหน้าไม่มีฝากระจกครอบอีกชั้นอย่างที่เคยมีมา คาร์บูเรเตอร์
ลดลงเหลือ 2 อัน พัดลมหม้อน้ำมี 2 อัน และ พนักพิงหลังของที่นั่งสามารถ
ปรับเอนได้ รถรุ่นนี้จึงมีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่าเป็นรุ่นซีรีส์ 1 ½ และ
นับเป็นการขับเคลื่อนให้เกิด E-type ซีรีส์ 2 ตามมา
E-type series 2 เป็นรถที่ผลิตขึ้นในระหว่างปี 1966-1971 โดยนำ
ซีรีส์1 มาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นโดย ทำเลี้ยวและไฟท้ายให้ใหญ่ขึ้น มีการขยาย
ช่องระบายลมหน้าหม้อน้ำให้ใหญ่ขึ้นรวมทั้งใช้พัดลมระบายความร้อนหม้อน้ำ
2 อัน แผงหน้าปัดและภายในห้องโดยสารถูกออกแบบใหม่หมด สวิทช์แบบ
โยกถูกแทนที่โดยสวิทช์แบบกด ส่วนเครื่องยนต์คงมีขนาดเดียวคือ 4.2 ลิตร
E-type series 3 ออกสู่ตลาดในปี 1971-1975 โดยมาพร้อมกับ
ความแรงของเครื่องยนต์ 12 สูบ 5.3 ลิตร พวงมาลัยเพาเวอร์และระบบเบรก
ที่เหนือชั้นกว่าซีรีส์ 2 และ 3
Jaguar E-type ทุกซีรีส์ล้วนถูกผลิตที่โรงงาน Browns Lane ซึ่งตั้งอยู่
ที่เมืองโครเวนทรี เมืองซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 9 ของเกาะอังกฤษ และใหญ่เป็นอันดับ 11
ของสหราชอาณาจักร
เส้นทางชีวิตของบริษัทจากัวร์มีทั้งเดินไปบนทางเรียบ จุดสูงสุดและจุด
ต่ำสุด ในปี 1966 จากัวร์ได้รวมบริษัทกับ British Motor Corporation (BMC)
และ Austin-Morris เป็นบริษัท British Motor Holding ( BMH ) และถัดมาอีก2 ปี
ในปี 1968 ก็ได้รวมตัวกับบริษัท Leyland Motor Corporation ยักษ์ใหญ่ซึ่งเข้าเทค
โอเวอร์บริษัท Rover และ Standard Triumph มาก่อนหน้านี้ บรรษัทขนาดใหญ่
ซี่งรวมรถยนต์จากทุกค่ายให้เข้ามาอยู่ในมุ้งเดียวกันนี้ใช้ชื่อบรรษัทว่า British
Leyland Motor Corporation
จากัวร์ปรับตัวเองให้เข้ากับทฤษฎี “รวมกันเราอยู่ แยกหมู่ตายเดี่ยว “
แต่สิ่งที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของจากัวร์ก็คือ ความเป็นรถสวยหรู สง่า สมรรถภาพ
เยี่ยม ทุกรุ่นและตลอดกาล
ปัจจุบันจากัวร์ย้ายมาสังกัดค่าย Ford Premier Automotive Group
ในปี 2007 รถรุ่นใหม่ที่ใช้รหัส XK เครื่องยนต์ 8 สูบ 4.2 ลิตร ตกคันละ $ 75,500
(หลังคาแข็ง- Coupe ) และคันละ $ 81,550 ( หลังคาเปิดประทุน – Convertible )
ลองคลิ้กเข้าไปดูที่ www. Jaguar.com ยลโฉมจากัวร์ทุกรุ่น แล้วท่านก็คงจะเข้าใจ
ว่ารถสวยที่ไม่ค่อยพบเห็นในประเทศไทยหน้าตาเป็นฉันใด
MG
รถสปอร์ตสายพันธุ์อังกฤษมีพัฒนาการที่น่าสนใจยิ่ง การแข่งขันทางการตลาดและเปลี่ยนแปลง
เจ้าของบริษัทล้วนมีผลต่อการดีไซน์รูปทรงและเครื่องยนต์ของรถยนต์ รถสปอร์ตMG ก็เช่นกัน MGในยุค
แรกๆอันได้แก่ MG – TD Midget ซึ่งมีรูปร่างยาวและสูงชะลูด ก็ต้องปรับปรุงโฉมตัวเองมาเป็นMGA
อันมีรูปทรงกระทัดรัด คลาสสิค แต่แข็งแรง MGAเผยโฉมขึ้นในปี 1955 พร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด
1588cc และในปี 1958 ถัดมาMGAก็ได้เพิ่มอุปกรณ์ขึ้นอีก 2 ชิ้นคือ Twin Camและดิสเบรกที่ 2 ล้อ
หน้า ต่อมาในปี 1961 MGAก็ได้ปรับปรุงเครื่องยนต์ให้แรงยิ่งขึ้น MGA MK II 1600cc
ในยุคนั้นวิ่งได้เร็วเกินกว่า 100 ไมล์ ต่อชั่วโมง เมื่อหลับตานึกถึงภาพคุณปู่นักซิ่งเมื่อ 96 ปีที่แล้ว ก็จะเห็นว่า
นักซิ่งซึ่งพิสมัยความเร็วในยุคนั้นคงจะเอ็นจอยในการเหยียบคันเร่งไม่แพ้เด็กชิวของยุคนี้
MGA ได้ปิดตำนานตัวเองลงในปี 1962 หลังจากได้ผลิตออกมาในราว 100,000 คัน และก็
เป็นการเริ่มตำนานMGB สปอร์ตที่ขายดีที่สุดในรถตระกูลMG MGBรวบรวมเอาข้อด้อยของMGA
มาปรับปรุง ซึ่งก็แน่นอนว่าสมรรถภาพของเครื่องยนต์และความสะดวกสบายในการขับขี่ของMGB ถูกออก
แบบมาให้เหนือชั้นกว่าMGA จึงไม่น่าแปลกที่MGB จะทำยอดขายได้สูงเป็น 5 เท่าของMGA
และกลายมาเป็นตำนานอันสุดยอดของรถสปอร์ตสายพันธุ์อังกฤษหากจะเปรียบเทียบกับMG ทุกรุ่น หรือรถ
สปอร์ตสายพันธุ์อื่นๆ หรือยี่ห้ออื่นๆอย่าง Austinหรือ Triumph
เมื่อกล่าวถึงMGB แล้ว ย่อมต้องกล่าวถึงMGCน้องนุชแต่ไม่สุดท้องของMG MGCถูก
ผลิตขึ้นโดยเจตนาเพื่อจะให้เข้ามาแทนที่รถAustin Healey3000 และเพื่อแข่งขันกับรถTriumph TR6
รถMGCเมื่อมองจากภายนอกโดยรวมแล้วจะดูคล้ายMGBมาก จะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือกระโปรงหน้ารถ
ของMGCตรงกลางกระโปรงจะโป่งนูนสูงขึ้นเพื่อให้รับกับเครื่องยนต์ 6 สูบที่มีรูปร่างสูง
MGC ถือกำเนิด ขึ้นในปี 1967 ด้วยเครื่องยนค์ 6สูบ หนักถึง 25 ก.ก. ความเร็วสูงสุด 120
ไมล์ต่อชั่วโมง กินน้ำมัน 19.3 ไมล์ต่อแกลลอน ความจุของถังน้ำมันอยู่ที่ 12 แกลลอน ถ้าเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว
จะวิ่งใด้กี่ไมล์ก็ลองบวกลบคูณหารดู
โดยเหตุที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับรถMGB รวมทั้งมีเครื่องยนต์ที่ใหญ่ขึ้น น้ำหนักเครื่องมาก
ขึ้น ทำให้MGC เป็นรถที่หนักส่วนหัว สมดุลในการทรงตัวจึงด้อยกว่าMG รุ่นอื่นๆ ผนวกกับผลวิจารณ์ใน
เชิงลบที่สื่อต่างๆเขียนถึง MGCจึงไม่สามารถทำยอดขายได้สูงตามที่ได้คาดหวัง ในปี 1969 MGCก็ได้รูด
ม่านปิดฉากการผลิตไปในที่สุด ในขณะที่รถคู่แข่งอย่าง Triumph TR6 ยังคงผาดโผนอยู่ในจักรภพอย่างยืน
ยงถึงปี 1976 ซึ่งแสดงว่าTriumph นั้นมีดี แต่จะมีดีอย่างไรนั้นผู้เขียนอาสาจะนำมาเสนอในฉบับต่อๆไป
นอกจากMG จะมีชื่อเสียงในเรื่องรถสปอร์ตเปิดประทุนแล้ว MGยังมีรถสปอร์ตหลังคาแข็ง
ด้วยเช่นกันคือ MGB GTและ MGC GT ซึ่งผู้เขียนจะยังไม่เขียนถึง ช่วงนี้จะร่ายยาวเกี่ยวกับสปอร์ตเปิด
ประทุนล้วนๆ
ที่จริงแล้วMGCควรจะได้รับตำแหน่งน้องนุชสุดท้องในตระกูลMG แต่ปรากฏการณ์ลูกหลงก็
เกิดขึ้นได้กับรถยนต์ เมื่อบริษัทRover เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของMG ทีมวิศวยานยนต์ของโรเวอร์นำโดย
Garry McGovern ได้ปลุกMG ให้กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง โดยสร้าง MGF ขึ้นมา MGFนับเป็น
สปอร์ตเปิดประทุนพันธุ์ดุตัวจริงเสียงจริงแห่งยุคนี้ MGFจะสวยโฉบเฉี่ยวขนาดไหน แรงอย่างไรต้องติดตาม
กันในตอนต่อไป ฉบับนี้เอารูปมาให้ดูเป็นการสะกิดต่อมอยากรู้ไปพลางๆก่อน และก็ไม่เฉพาะแต่MGFเท่านั้น
ผู้อ่านท่านใดอยากรู้เกี่ยวกับรถยนต์โบราณรุ่นไหนก็อีเมลเข้ามาได้ผู้เขียนยินดีจัดให้ และขอขอบคุณในกระแส
ไมตรีจิตของมิตรรักแฟนรถ(โบราณ)ทุกท่านที่ได้ติดตามคอลัมน์นี้มาโดยตลอด
Triumph
เมื่อเอ่ยคำว่า Triumph แล้ว บางคนอาจจะนึกถึงชุดชั้นในสตรีที่มักใช้แต่พรีเซ็นเตอร์ที่มีหุ่นทรง
อะร้าอร่าม แต่Triumphที่จะนำมาเสนอในฉบับนี้เป็นรถยนต์คลาสสิคหุ่นทรงกระทัดรัด สง่า ดูเคร่งขรึม
สมกับเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนแห่งเมืองผู้ดี
ก่อนจะนำท่านมารู้จักกับ Triumph Spitfireสุดยอดสปอร์ตตัวเก่งของรถยนต์Triumphก็คงจะต้อง
กล่าวถึงประวัติการลงหลักปักฐานของTriumphเสียบ้างพอเป็นกระสาย ก้าวแรกของTriumphนั้นเริ่มขึ้นใน
ปี1923ด้วยการผลิตจักรยานและมอเตอร์ไซค์ จากนั้นก็ผันตัวมาผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินขับไล่ให้กับรัฐบาล
อังกฤษในขณะที่สงครามโลกครั้งที่2กำลังก่อตัว จวบจนปี1940บริษัทก็ต้องยุติการผลิตชิ้นส่วนป้อนรัฐบาล
สาเหตุไม่ใช่อะไร เยอรมันตัวดีเล่นเอาระเบิดมาปูพรมเสียจนโรงงานต่างๆในเมืองCoventryราพณาสูร
บริษัทTriumphกลับมาตั้งลำอีกครั้งในเดือนธันวาคม1945 ครั้งนี้ได้ท่านเซ่อร์ John Black
มาเป็นผู้กุมบังเหียน Sir.Johnเป็นผู้จุดประกายให้Triumphกลับมาแจ้งเกิดด้วยการผลิตรถสปอร์ตTRX
ออกมาขายแข่งกับรถMGและรถจากัวร์ จากนั้นก็ขึ้นชั้นรถขายดีภายหลังที่ได้ออกรุ่นTR20 ซึ่งต่อมาในปี
1953ก็แตกหน่อมาเป็นTR2 ตามมาด้วยTR3 และTR3A ตามลำดับ
มาถึงรถสปอร์ตอันเลื่องชื่อของTriumph ซึ่งก็คือTriumph Spitfire4 เลข4ที่ต่อท้ายชื่อนี้
หมายถึง 4สูบ รถต้นแบบSpitfireเดิมใช้ชื่อว่าbomb ออกแบบโดยGiovanni Michelottiในสตูดิโอ
ของไทรอัมฟ์ในเมืองตูริน อิตาลี Bombคงจะเป็นเพียงภาพรถบนแผ่นกระดาษหากมิได้บริษัทLeyland
Motorsเข้ามาเท็คโอเวอร์กิจการของบริษัทStandard-Triumph หลังจากพบBombบนแผ่นกระดาษใน
กองเอกสารฝุ่นหนาเตอะ ผู้บริหารLeyland Motorก็ได้สั่งพัฒนาBombทันทีในวันที่13 กรกฎา1961
และนี่เองนับเป็นการเปิดตำนานTriumph Spitfire MK I
MK I หรือจะเรียกง่ายๆว่าMark OneหรือSeries Oneนั้นถูกผลิตขึ้นระหว่างเดือนตุลาคม
1962ถึงเดือนธันวาคม196 4 ประกอบด้วยเครื่องยนต์1,147cc ความเร็วสูงสุด146ก.ม.ต่อช.ม.
อัตราเร่ง0-96 ก.ม.ต่อช.ม.ใช้เวลาเพียง17.3วินาที ราคาซี้อขายไทรอัมฟ์สปิตไฟร์มาร์ค-วันในค.ศ.1962นั้น
สนนราคาอยู่ที่641ปอนด์ นับว่าแพงกว่ารถยนต์Austin Healey Spriteซึ่งมีราคาเพียง 587ปอนด์
Triumph Spitfire MK I เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดเมื่อผลิตไปได้ทั้งสิ้น45,753 คัน
จากรุ่นMK I ก็มาเป็นรุ่น MK II ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือการนำเอารถMK I มาปรับให้แรงขึ้นอีก
นิด จาก63แรงม้ากระโดดมาเป็น67แรงม้า(67 bhp)แต่เครื่องยนต์ก็ยังคงมีขนาด1147cc สิ่งที่เพิ่มเข้ามา
ก็คือพื้นห้องโดยสารที่บุพรมแทนของเดิมที่เป็นยาง ส่วนโซฟาก็หุ้มด้วยวัสดุที่ดีขึ้น ท่อไอเสียและระบบระบาย
ความร้อนด้วยน้ำก็ปรับให้ใหญ่ขึ้น ไทรอัมฟ์สปิตไฟร์ มาร์ค-ทูเมื่อนับจากวันที่เริ่มผลิตในเดือนธันวาคม1964
จนกระทั่งหยุดผลิตในเดือนมกราคม1967แล้ว ปรากฏว่าเจ้ารถที่วิ่งได้เร็วถึง154 ก.ม.ต่อ ช.ม.นี้มีจำนวนถึง
37,409คันเลยทีเดียว
Triumph Spitfire MK III เปิดตัวขึ้นโดยที่หน้าตาก็ยังคงเหมือนกับ MK I และMK II
มังกรไฟคันนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์1296ccและ75 แรงม้า อัตราสปีดจาก0ไปที่96ก.ม.ต่อช.ม.ใช้เวลาเพียง
12.5วินาที เร็วกว่าMK IIที่ต้องใช้เวลาถึง15.5วิ เจ้ามังกรพ่นไฟลำดับที่3 คันนี้ มีอายุเพียง 4 ปี
เกิดในเดือนมกรา 1967 และลาลับไปในเดือนธันวา1970 ด้วยจำนวนที่นับแล้วได้65,320คันไม่ขาดไม่เกิน
มังกรพ่นไฟตัวที่4 Triumph Spitfire MK IV เผยโฉมขึ้นในเดือนสิงหา1970ด้วยหุ่นทรง
ที่ถูกหั่นช่วงหลังให้สั้นเข้า ถ้าไม่นับกระจังหน้ากับกันชนหน้าที่เป็นพลาสติคสีดำและกันชนหลังซึ่งเป็นชิ้นยาว
ชิ้นเดียวแล้ว MK III และMK IVก็แทบจะไม่มีอะไรต่างกันเลย Triumph Spitfire IVคันสุดท้าย
คือคันที่70,021 หลังเดือนพฤศจิกายน1974 Spitfire MK IVก็เหลือไว้เพียงความทรงจำให้ทุกคนโหยหา
2ปี ก่อนที่ไทรอัมฟ์สปิตไฟร์มาร์ค-โฟร์จะถูกยุติการผลิต ไทรอัมฟ์ได้นำเครื่องยนต์ขนาด
1493ccมาใส่กับรถSpitfire IV แล้วตั้งชื่อว่าTriumph Spitfire 1500 ร ถรุ่นนี้ทำยอดขายได้สูง
กว่าสปิตไฟร์ทุกรุ่น ในปี 1980 สปิตไฟร์1500คันที่95,829คันสุดท้าย สีเหลืองอินคาก็ถูกถอยออกมา และ
ปัจจุบันก็ยังจอดสงบอยูที่พิพิธภัณฑ์มรดกBritish Motor ณ.เมือง Gaydon ตราบทุกวันนี้
เมื่อย้อนอดีตแล้วแกะรอยเส้นทางโลดแล่นของรถยนต์Triumph แล้วจะเห็นว่าไทรอัมฟ์ครอง
ความเป็นรถชั้นนำมาโดยตลอด แต่ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง ในช่วงทศวรรษ1980ชื่อชั้นของไทรอัมฟ์ก็เริ่ม
แผ่วลง จากการที่รถยนค์รุ่นหลังๆล้วนมีข้อด้อยและบริษัทผู้ผลิตเริ่มหมดไฟ TR7/8เป็นรถสปอร์ตรุ่น
สุดท้ายของไทรอัมฟ์ที่รูดม่านปิดฉากไปในปี1981 ปัจจุบันไทรอัมฟ์เปลี่ยนมาสังกัดค่ายBMW
เช่นเดียวกับมอริส และออสตินรถยนต์คลาสสิคอีก 2 ยี่ห้อ ที่กำลังจ่อคิวรอการนำเสนอบนหน้าเว็บไซต์ที่นี่
โปรดติดตามอย่ากระพริบตา

No comments:

Post a Comment